การขยายธุรกิจในแนวตั้ง (Vertical Integration) คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่บริษัทเลือกที่จะขยายขอบเขตการดำเนินงานของตนเองโดยการเข้าซื้อกิจการ ควบคุม หรือสร้างธุรกิจอื่น ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เดียวกัน แต่ดำเนินงานในขั้นตอนที่แตกต่างกัน เปรียบเสมือนกับการที่บริษัทสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจของตนเองขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุมกระบวนการผลิตหรือการบริการ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตรถยนต์อาจตัดสินใจเข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตรถยนต์ (ต้นน้ำ) หรืออาจเลือกที่จะเข้าซื้อกิจการบริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ เพื่อควบคุมช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยตรง (ปลายน้ำ)
ข้อดีของการขยายธุรกิจในแนวตั้ง
ลดต้นทุน: การขยายธุรกิจในแนวตั้งช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตและการจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าดำเนินการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต
เพิ่มประสิทธิภาพ: การบริหารจัดการกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายภายในองค์กรเดียวกันช่วยลดความซับซ้อน ลดปัญหาความล่าช้า และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน อันนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ควบคุมคุณภาพ: การควบคุมวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และช่องทางการจัดจำหน่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าและบริการได้อย่างเข้มงวด ส่งผลให้สินค้าและบริการมีมาตรฐานที่ดี สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: การขยายธุรกิจในแนวตั้งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัท เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุน คุณภาพ และช่องทางการจัดจำหน่ายได้ดีกว่าคู่แข่ง ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่มีราคาที่แข่งขันได้ และมีคุณภาพที่เหนือกว่า
ลดความเสี่ยง: การควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ปัญหาการขนส่ง หรือการเปลี่ยนแปลงของช่องทางการจัดจำหน่าย
ข้อเสียของการขยายธุรกิจในแนวตั้ง
ต้องใช้เงินลงทุนสูง: การเข้าซื้อกิจการ การสร้างโรงงานใหม่ หรือการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในแนวตั้ง จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
มีความเสี่ยง: การขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ที่บริษัทไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจมีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ และอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทโดยรวม
อาจเกิดความขัดแย้ง: การขยายธุรกิจในแนวตั้งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับบริษัทคู่ค้าเดิม ที่เคยทำธุรกิจร่วมกันในอดีต ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางธุรกิจได้
อาจถูกต่อต้านจากผู้บริโภค: ในบางกรณี การขยายธุรกิจในแนวตั้งอาจถูกมองว่าเป็นการผูกขาดตลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความไม่พอใจ และอาจนำไปสู่การต่อต้านจากผู้บริโภคได้
ตัวอย่างของการขยายธุรกิจในแนวตั้ง
บริษัทผลิตน้ำอัดลม: เข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตขวดพลาสติกและบริษัทผลิตน้ำตาล (ต้นน้ำ) และเข้าซื้อกิจการบริษัทจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม (ปลายน้ำ)
บริษัทค้าปลีก: เข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค (ต้นน้ำ) และเข้าซื้อกิจการบริษัทขนส่งสินค้า (ปลายน้ำ)
บริษัทเทคโนโลยี: เข้าซื้อกิจการบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ต้นน้ำ) และเข้าซื้อกิจการบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ (ปลายน้ำ)
สรุป
การขยายธุรกิจในแนวตั้งเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย บริษัทควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เช่น ทรัพยากรของบริษัท ความเสี่ยง สภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน และพฤติกรรมของผู้บริโภค ก่อนตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้ เพื่อให้มั่นใจว่าการขยายธุรกิจในแนวตั้งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับบริษัทในระยะยาว