การลงทุนในเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนที่มีอยู่ โดยเป็นการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ออกตราสาร ซึ่งอาจเป็นหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน หรือองค์กรต่างๆ โดยมีข้อตกลงในการชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
ข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้
ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น: โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น เนื่องจากผู้ออกเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) มีภาระผูกพันตามกฎหมายในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ แม้ว่าบริษัทจะประสบปัญหาทางธุรกิจ แต่ผู้ถือตราสารหนี้ก็ยังคงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้น
ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ: ผู้ลงทุนในเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) จะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและคาดการณ์ได้ ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กระจายความเสี่ยง: การลงทุนในเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตราสารหนี้มีความสัมพันธ์กับหุ้นในทิศทางตรงกันข้าม นั่นหมายความว่า หากราคาหุ้นตกต่ำ ราคาก็ตราสารหนี้อาจจะไม่ลดลงมากนัก หรืออาจจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมมีความผันผวนลดลง
เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย: เจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่เกษียณอายุแล้ว หรือผู้ที่ต้องการใช้เงินลงทุนในระยะสั้น
ข้อเสียของการลงทุนในตราสารหนี้
ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น: โดยทั่วไปแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้จะต่ำกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น เนื่องจากความเสี่ยงที่ต่ำกว่า
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ราคาของตราสารหนี้ในตลาดรองอาจลดลง ทำให้นักลงทุนที่ต้องการขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดอาจขาดทุนได้
ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้: แม้ว่าตราสารหนี้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้อาจผิดนัดชำระหนี้ได้ หากบริษัทประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ลงทุนสูญเสียเงินต้นและดอกเบี้ยได้
ประเภทของตราสารหนี้
พันธบัตรรัฐบาล: เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนสำหรับการพัฒนาประเทศ เช่น พันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว พันธบัตรรัฐบาลมักมีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากรัฐบาลมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยมาก
หุ้นกู้บริษัท: เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนเพื่อระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ โดยหุ้นกู้บริษัทจะมีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน
ตั๋วเงินคลัง: เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางเพื่อระดมทุนหมุนเวียนระยะสั้น โดยทั่วไปแล้ว ตั๋วเงินคลังจะมีอายุไม่เกิน 1 ปี
คำแนะนำในการลงทุนในตราสารหนี้
ศึกษาข้อมูล: ก่อนตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตราสาร ประเภทของตราสารหนี้ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาครบกำหนด และความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ
เปรียบเทียบผลตอบแทน: ควรเปรียบเทียบผลตอบแทนของตราสารหนี้หลายๆ ประเภท เพื่อเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้เพียงประเภทเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลายๆ ประเภท เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัท ตั๋วเงินคลัง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้มากนัก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อขอคำแนะนำ
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในเจาะลึกการลงทุนในตราสารหนี้ – หุ้นกู้ (bond) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงและยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงโดยการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะของตราสารหนี้แต่ละประเภท รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จะช่วยให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้มากยิ่งขึ้น