เงินเฟ้อ (inflation) คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน โดยเป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าของเงินลดลงและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง พูดง่ายๆ คือ เงินจำนวนเท่าเดิมจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ตัวอย่างเช่น หากเมื่อก่อนเราใช้เงิน 100 บาท ซื้อข้าวราดแกงได้ 2 จาน แต่ในภาวะเงินเฟ้อ เราอาจจะใช้เงิน 100 บาท ซื้อข้าวราดแกงได้เพียงจานเดียวหรือน้อยกว่านั้น
สาเหตุของเงินเฟ้อ (inflation) มีปัจจัยที่หลากหลาย แบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
เงินเฟ้อจากอุปสงค์ (Demand-Pull Inflation): เกิดขึ้นเมื่อความต้องการสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปริมาณสินค้าและบริการที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้ผู้ขายมีอำนาจในการกำหนดราคา จึงทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงเทศกาล หรือช่วงที่มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
เงินเฟ้อจากต้นทุน (Cost-Push Inflation): เกิดขึ้นเมื่อต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนพลังงาน ค่าขนส่ง หรือแม้กระทั่งค่าแรง ส่งผลให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นเพื่อรักษากำไรของธุรกิจไว้ ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า และต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ราคาสินค้าและบริการเหล่านั้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
เงินเฟ้อจากการคาดการณ์ (Built-in Inflation): เกิดขึ้นจากการที่ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าราคาสินค้าและบริการในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น จึงเร่งการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการในปัจจุบัน ในขณะที่ผู้ผลิตเองก็คาดการณ์ว่าราคาสินค้าและบริการจะสูงขึ้น จึงมีการกักตุนสินค้าหรือปรับราคาสินค้าและบริการขึ้นก่อน พฤติกรรมเช่นนี้ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น
ผลกระทบของเงินเฟ้อ (inflation) นั้นส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในระดับบุคคล แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย ตัวอย่างผลกระทบจากเงินเฟ้อ (inflation) ที่สำคัญ ได้แก่
กำลังซื้อลดลง: เงินจำนวนเท่าเดิมซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย
รายได้ที่แท้จริงลดลง: หากรายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ (inflation) รายได้ที่แท้จริงของประชาชนจะลดลง ส่งผลให้ประชาชนมีเงินเหลือสำหรับการออมและการลงทุนลดลง
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ภาวะเงินเฟ้อ (inflation) ที่สูงและผันผวน ทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนไม่มั่นใจในการใช้จ่ายและการลงทุน ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ปัญหาทางสังคม: ภาวะเงินเฟ้อ (inflation) อาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และความไม่พอใจในสังคม เนื่องจากประชาชนบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ (inflation) มากกว่ากลุ่มอื่น
การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ (inflation) จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ ดังนี้
นโยบายการเงิน: ธนาคารกลางสามารถใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดปริมาณเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ
นโยบายการคลัง: รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการคลังเพื่อควบคุมรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล เช่น การลดการใช้จ่ายภาครัฐ หรือการเพิ่มภาษี เพื่อลดปริมาณเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในประเทศ จะช่วยเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการให้เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการไม่ปรับตัวสูงขึ้น
การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ (inflation) อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในสาเหตุของปัญหา และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากมาตรการจากภาครัฐแล้ว ในระดับปัจเจกบุคคลก็สามารถรับมือกับเงินเฟ้อ (inflation) ได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การวางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นและคุ้มค่า ตลอดจนมองหาช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (inflation) ได้ เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละประเภทให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุปได้ว่า เงินเฟ้อ (inflation) เป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน การรับมือกับเงินเฟ้อ (inflation) จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งในระดับประเทศและระดับบุคคล เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน