โดยปกติแล้วคดีอาญาแผ่นดินจะต้องระงับในชั้นศาลโดยคำพิพากษาเท่านั้น แต่สำหรับกฎหมายศุลกากรที่มีลักษณะพิเศษ สามารถระงับคดีในชั้นศุลกากรได้ ตามอำนาจมาตรา ๒๕๖ และ ๒๕๗ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ที่ให้อำนาจอธิบดี หรือคณะกรรมการเปรียบเทียบประกอบด้วยผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้สามารถงดฟ้องร้อง และให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่กรณีผู้ต้องหาไม่ประสงค์จะขอให้เปรียบเทียบ งดการฟ้องร้อง ให้ดำเนินการร้องทุกข์ กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
มาตรา ๒๕๖ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๗ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าบุคคลนั้นยินยอมใช้ค่าปรับ หรือได้ทำความตกลง หรือทำทัณฑ์บน หรือให้ประกันตามที่อธิบดีเห็นสมควรแล้วอธิบดีจะงดการฟ้องร้องเสียก็ได้ และให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในกรณีที่อธิบดีเห็นสมควรจะฟ้องบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้บันทึกเหตุผลในการฟ้องผู้กระทำความผิดไว้ด้วย”
มาตรา ๒๕๗ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า “ความผิดตามมาตรา ๒๒๗ มาตรา ๒๔๒ มาตรา ๒๔๓ มาตรา ๒๔๔ และมาตรา ๒๔๗ ถ้าราคาของกลางรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเกินกว่าสี่แสนบาท ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด และผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับ หรือได้ทำความตกลง หรือทำทัณฑ์บน หรือให้ประกัน ตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลา ที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา”