ภาวะหมดไฟ หรือ Burnout เป็นภาวะที่ร่างกายและจิตใจอ่อนล้าอย่างหนัก อันเนื่องมาจากความเครียดเรื้อรังที่สะสมมาเป็นเวลานาน จากการทำงานหนักเกินไป ต้องเผชิญกับความกดดันสูง หรือแม้แต่การใช้ชีวิตที่เร่งรีบจนเกินไป ภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ขาดสมาธิในการทำงาน ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย รวมถึงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น อาจทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้ง่ายขึ้น
อาการของภาวะหมดไฟ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
ด้านร่างกาย: รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ไม่มีแรง แม้ว่าจะได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม บางรายอาจมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดไหล่ ปวดหลัง ร่วมกับมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ หลับยาก ตื่นกลางดึก หรือนอนหลับไม่สนิท
ด้านจิตใจ: มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียว โมโหง่าย ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี คิดอะไรไม่ออก รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่อยากทำอะไร และในบางรายอาจมีความวิตกกังวล ซึมเศร้า ร่วมด้วย
ด้านพฤติกรรม: มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น แยกตัว ไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากพบปะผู้คน ทำงานผิดพลาดบ่อยขึ้น ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน ผลงานที่ออกมาแย่ลง ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง บางรายอาจหันไปพึ่งพึ่งสิ่งเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ เพื่อหลีกหนีปัญหา
วิธีแก้ไขภาวะหมดไฟ สามารถทำได้ดังนี้
สำรวจตัวเอง: หมั่นสังเกตอาการและความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ หากพบว่าตนเองมีอาการที่เข้าข่ายภาวะหมดไฟ ควรรีบหาวิธีแก้ไข
พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะช่วงเวลาที่เรานอนหลับจะเป็นช่วงที่ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ควรงดการใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก่อนนอน และควรเข้านอนให้เป็นเวลา โดยนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
ลดความเครียด: หาเวลาผ่อนคลาย ลดความเครียดในชีวิตประจำวันลง เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ การฝึกโยคะ การทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ร้องเพลง เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร หรือการพูดคุยกับเพื่อนสนิท คนในครอบครัว
จัดการตารางชีวิต: จัดตารางชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ไม่ควรทำงานหนัก หรือทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกินไป ควรแบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน และทำกิจกรรมที่ชอบบ้าง เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
หาความสุขให้กับตัวเอง: ทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุข เช่น การอ่านหนังสือ การดูหนัง การฟังเพลง การเดินทางท่องเที่ยว การทานอาหารอร่อยๆ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และดูแลตัวเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อขอคำแนะนำและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
การป้องกันภาวะหมดไฟ ทำได้โดย
รักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว: ไม่ควรให้ความสำคัญกับงานมากเกินไป ควรแบ่งเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนฝูง หาเวลาพักผ่อน และทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน
ตั้งเป้าหมายที่realistic: ตั้งเป้าหมายในการทำงานที่ไม่สูงเกินไป และสามารถทำได้จริง เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด และความกดดันในการทำงานมากจนเกินไป
เรียนรู้การปฏิเสธ: ไม่ควรรับงานมากเกินความสามารถของตัวเอง ควรเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของตนเอง
ดูแลสุขภาพกายและใจ: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง: ควรมีเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวที่สามารถพูดคุย และระบายความรู้สึกต่างๆ ให้กันฟังได้ เพื่อช่วยคลายความเครียด และลดความกดดันต่างๆ ลงได้
ภาวะหมดไฟเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ หากเรารู้จักสังเกตตัวเองและหาวิธีจัดการที่เหมาะสม รวมถึงการดูแลสุขภาพกายและใจให้ดีอยู่เสมอ ก็จะช่วยป้องกันภาวะหมดไฟได้