ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ค่านิยมและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมปรับตัวตามไปด้วย หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างชัดเจน คือ แนวโน้มการตัดสินใจไม่มีบุตรของคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในสังคมปัจจุบัน ปัจจัยหลายประการต่างกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อยลง สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจไม่มีบุตรของคนรุ่นใหม่นั้น มีรากฐานมาจากหลากหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสามารถสรุปประเด็นหลักได้ดังนี้
ภาระค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันให้กับคนรุ่นใหม่ ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหนึ่งคน ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีนั้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ทำให้หลายคนรู้สึกว่าการมีบุตรเป็นภาระอันหนักอึ้ง เกินกว่าที่ตนจะสามารถแบกรับไหว อีกทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่ายานพาหนะ ต่างก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งซ้ำเติมให้การตัดสินใจมีบุตรเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับคนรุ่นใหม่ สภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ตลาดแรงงานที่แข่งขันสูง ปัญหาสังคมที่ทวีความรุนแรง ตลอดจนความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในอนาคต คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงเลือกที่จะชะลอการมีบุตรออกไปก่อน เพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกได้
การเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและวิถีชีวิต คนรุ่นใหม่เติบโตมาในยุคสมัยที่เปิดกว้างทางความคิด ให้ความสำคัญกับอิสรภาพในการใช้ชีวิต การแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ การพัฒนาศักยภาพของตนเอง และการสร้างความมั่นคงในชีวิต ก่อนที่จะคิดถึงการสร้างครอบครัว ต่างจากคนรุ่นก่อนที่ให้คุณค่ากับการแต่งงานและการมีบุตรเป็นอันดับต้นๆ คนรุ่นใหม่มองว่าการมีบุตรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตอีกต่อไป
ความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร การเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความพร้อมในหลายด้าน ทั้งเวลา ทรัพยากร และความรู้ความเข้าใจ คนรุ่นใหม่หลายคนรู้สึกว่าตนเองยังขาดความพร้อมในด้านต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงดูบุตรได้อย่างดีที่สุด
ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ มลภาวะต่างๆ ล้วนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในปัจจุบันและอนาคต คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยกังวลว่าหากมีบุตร ลูกหลานของตนจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงกว่าเดิม
ผลกระทบจากภาวะคนไม่อยากมีลูกนั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมในหลายด้าน ดังนี้
ปัญหาประชากรสูงวัย เมื่อจำนวนประชากรเกิดใหม่ลดลง ในขณะที่อัตราการตายลดลง และอายุขัยเฉลี่ยของประชากรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยที่จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ภาระในการดูแลผู้สูงอายุ และปัญหาความมั่นคงของระบบสวัสดิการสังคม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลดลงของประชากรวัยแรงงาน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศในระยะยาว ขณะเดียวกันกำลังซื้อภายในประเทศก็จะลดลง เนื่องจากจำนวนผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ
ผลกระทบต่อสังคม โครงสร้างครอบครัวแบบเดิมที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของสังคมไทย กำลังเผชิญกับความท้าทาย เมื่อจำนวนสมาชิกในครอบครัวลดลง ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว และเครือญาติก็เปลี่ยนแปลงไป ความผูกพันธ์ในสังคมลดน้อยลง
การแก้ไขปัญหาภาวะคนไม่อยากมีลูก เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม โดยภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายที่สนับสนุนการมีบุตรอย่างจริงจัง อาทิ
การให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การลดหย่อนภาษี
การพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
สร้างระบบสวัสดิการสังคมที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคุณภาพสถานรับเลี้ยงเด็ก
ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ สนับสนุนให้ผู้หญิงมีโอกาสในการทำงานและพัฒนาตนเอง
รณรงค์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในอนาคต หากประชากรเด็กเกิดใหม่มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
การแก้ไขปัญหาภาวะคนไม่อยากมีลูก ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของภาครัฐเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกคน เพื่อสร้างสังคมที่เอื้อต่อการมีบุตร และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศชาติต่อไป